Author Topic: ทีมชาติเยอรมัน ในฟุตบอลโลก 2010  (Read 9042 times)

Liverpool

  • Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • Posts: 673
    • View Profile


ประวัติทีม

อดีตแชมป์โลก 3 สมัย เยอรมัน เข้ารอบสุดท้ายมาบรรเลงเพลงแข้งที่แอฟริกาใต้ด้วยความคาดที่ค่อนข้างสูงหวัง จากสื่อมวลชน และแฟนบอล หลังจากพกดีกรีชนะเลิศในปี 1954 ที่สวิตเซอร์แลนด์, 1974 ที่เยอรมันเป็นเจ้าภาพ และ 1990 ที่อิตาลี่ “อินทรีเหล็ก”นำทีมโดยกุนซือหนุ่ม โยอาคิม เลิฟ ที่มุ่งหวังเป็นอย่างมากที่จะพาทีมคว้าถ้วยฟุตบอลโลกเป็นครั้งที่สี่ให้ได้

ทีมชาติเยอรมันมีผู้เล่นที่ประสบการณ์สูงหลายคน และถึงแม้ทีมอาจจะไม่มีเทคนิคแพรวพราว แต่ด้วยแท็คติกบวกกับความเป็นเลือดนักสู้ที่ไม่เคยท้อ แม้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ทำให้ขุนพลอินทรีเหล็กฝ่าฝันเข้ารอบลึกๆมาได้ทุกครั้ง สิ่งที่น่าจับตามองมากสำหรับพวกเขาในทัวร์นาเมนต์ก็คือ มิชาเอล บัลลัค กัปตันจอมอาภัพที่พยายามอยู่หลายครั้ง เพื่อจะคว้าแชมป์โลกมาครองให้ได้ หลังจากได้รองแชมป์เมื่อปี 2002 ที่เกาหลีใต้กับญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วม รวมทั้งปี 2006 ก็ได้เพียงอันดับ 3 ในบ้านเกิดตัวเอง และถึงยูโร 2008 ที่ออสเตรียกับสวิตเซอร์แลนด์ ทีมจากเมืองเบียร์ก็ได้เพียงรองแชมป์เช่นกัน

ไม่เพียงเท่านั้น มิชาเอล บัลลัค นอกจากจะโด่งดังไปเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เขายังถูกนำไปเปรียบเทียบกับ ยอดกัปตันทีมชาติเยอรมันระดับตำนานที่เคยพาทีมชูถ้วยฟุตบอลโลกมาแล้วอย่าง ฟริตท์ วอล์เตอร์, ฟรานซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์ และ โลธ่า มัทเธอุส อีกด้วย “อินทรีเหล็ก”ยังฝากความหวังกับดาวยิงของทีม มิโรสลาฟ โคลเซ่ ที่มักจะโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมทุกครั้งในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก รวมทั้ง ฟิลิปปส์ ลาห์ม, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ และ ลูคัส โพดอสกี้

ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 2010 เยอรมันถูกจับให้อยู่ในกลุ่ม 4 ทีมใส้กรอกทำแต้มหล่นเพียง 2 เกม ในนัดที่พบกับ ฟินแลนด์ ทั้งเหย้าและเยือน โดยเกมแรกบุกไปเสมอ 3-3 ถึงเฮลซินกิ ซึ่งเป็น มิโรสลาฟ โคลเซ่ ทำแฮตทริกฮีโร่ในเกมนั้นด้วย และกลับมาเสมอกันอีกครั้งที่ฮัมบวร์ก 1-1 ในเกมสุดท้ายของรอบคัดเลือก อย่างไรก็ตาม เยอรมันก็ตบเท้าเข้าสู่รอบสุดท้ายด้วยการเป็นอันดับที่ 1 ของกลุ่ม ทิ้งทีมอันดับรองลงมาอย่าง รัสเซีย, ฟินแลนด์, เวลส์, อาเซอร์ไบจัน และ ลิกเท่นสไตน์ ตกรอบตามระเบียบ

สองเกมที่สร้างความประทับใจให้ทีมชาติเยอรมันก็คือการชนะรัสเซียทั้งไปและ กลับ ซึ่งเป็นการแย่งเข้ารอบกันโดยตรง และเกมที่สุดสำคัญในนัดก่อนสุดท้ายเมื่อขุนพลอินทรีเหล็กบุกไปชนะรัสเซีย 2-1 ถึงมอสโกว์ นับเป็นเกมแรกที่รัสเซียพลาดท่าแพ้ในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ก่อนจะพลาดท่าแพ้สโลเวเนียในรอบเพลย์ออฟตกรอบไปอย่างเจ็บปวด รูปแบบการเล่นภายใต้การคุมทัพของ โยอาคิม เลิฟ เน้นเกมบุกที่ดุดันมากขึ้นต่อเนื่องมาจากชุดของ เจอร์เก้น คลิ้นท์มัน ในปี 2006 ที่มีเกมบุกน่าตื่นตาตื่นใจ

ดาวดังประจำทีม


Philip Lahm >>  Defender

สโมสร ปัจจุบัน : บาเยิร์น มิวนิค


Michael Ballack >>  Midfielder

สโมสรปัจจุบัน : เชลซี


Mario Gomez >> Striker

สโมสร ปัจจุบัน : บาเยิร์น มิวนิค

โค้ช

โจอาคิม เลิฟ (Joachim Löw)



โจอาคิม เลิฟ อดีตผู้ช่วยของ เจอร์เก้น คลิ้นท์สมัน ในฟุตบอลโลก 2006 เรียกว่าตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของกุนซือ”ฉลามขาว”อยู่นาน ก่อนที่จะรับบทบาทเป็นหัวเรือใหญ่ของ”อินทรีเหล็ก”เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2006 บุนเดสเทร์นเนอร์วัย 49 ปี ก็สานต่อแนวทางของ คลิ้นท์สมัน ด้วยการเล่นเกมรุกที่ดุดัน แต่มาเสริมเติมแต่งเกมรับ ให้สมดุลขึ้น เขาเจอบททดสอบที่สำคัญในศึกฟุตบอลยูโร 2008 และก็ไม่ทำให้แฟนๆต้องผิดหวัง เมื่อพาทีมหักปากกาเซียนคว้ารองแชมป์ไปได้  และมาครั้งนี้ ก็จะเป็นเวทีใหญ่สำหรับเขาอีกครั้งว่ายังสอบผ่านอยู่หรือไม่ คำจำกัดความของ เลิฟ ว่าเอาไว้”ความมุ่งมั่นและทำงานหนักเท่านั้น ที่จะก้าวไปถึงจุดสูงสุดได้”

ประวัติของทีมในฟุตบอลโลก

- เยอรมัน ได้แชมป์โลกทั้งหมด 3 ครั้ง(1954, 1974, และ 1990) เป็นรองเพียงแค่ บราซิล(5) และ อิตาลี (4)

- ในปี 1930 และ 1950 เพียง 2 ครั้งเท่านั้น ที่เยอรมันไม่สามารถผ่านเข้ามาเล่นรอบสุดท้าย

สถิติน่ารู้

- เยอรมันเข้ารอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกทั้งหมด 7 ครั้ง เท่ากับ ทีมชาติบราซิล

- เยอรมันแข่งยิงลูกโทษในศึกฟุตบอลโลกทั้งหมด 4 ครั้ง และชนะได้ทั้งหมด


 
 
 [onion-a06]