งานนี้ต้องบอกว่ามีหวั่นบ้างไม่มากก็น้อยครับสำหรับแข้งช้างศึก ไทยแลนด์ หรือว่าทีมชาติไทยชุดลุยศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพของเรา ซึ่ง ณ ตอนนี้ได้เดินทางเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศแล้ว เพราะล่าสุดทางเลขาธิการสมาคมลูกหนังของมาเลเซีย คู่ชิงชัยในแมทชิงชนะเลิศของเราได้ออกมาแถลงยืนยันแล้วว่าเกมแมทชิงชนะเลิศแมทที่สองที่ตามกำหนดการแข่งขันจะต้องเดินทางไปเตะกันที่ประเทศมาเลเซียนั้น พวกเขาสามารถที่จะใช้สนามกีฬาที่มีความจุผู้ชมเกือบแสนคนอย่างบูกิต จาลิลได้ แม้ว่าเกมในรอบก่อนหน้านี้พวกเขาจะถูกสั่งห้ามไม่ให้ใช้ก็ตาม
ทั้งนี้เกมในรอบรองชนะเลิศ ซึ่งมาเลเซียพบกับเวียดนามนั้น สนามบูกิต จาลิลถูกทางสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียนติงเรื่องคุณภาพของพื้นสนาม ทำให้มาเลต้องย้ายไปใช้สนามอื่นแทนที่มีความจุผู้ชมน้อยกว่าบูกิต จาลิล แต่หลังจากผ่านเกมดังกล่าวมาทางเอเอฟเอฟก็ได้เข้าตรวจคุณภาพสนามบูกิต จาลิลอีกครั้ง โดยที่คราวนี้การประเมินเป็นไปด้วยดี เป็นผลให้มาเลสามารถที่จะใช้บูกิต จาลิลเป็นสังเหียนเหย้านัดชิงชนะเลิศของพวกเขา เลยเท่ากับว่าทีมชาติไทยจะต้องลงเล่นในเกมนัดชี้ชะตาภายใต้ความกดดันที่ต้องบอกว่ามากโขทีเดียว เพราะสนามความจุระดับเกือบแสนคนนั้น แน่นอนว่ามันหาไม่ได้ง่ายๆ ในบ้านเรายังไม่มีด้วยซ้ำไป
ฉะนั้นบรรยากาศภายในสนาม เสียงเชียร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเป็นนัดชิงชนะเลิศนัดสุดท้ายด้วยแล้ว จึงเป็นอะไรที่น่าหวั่นใจแทนทัพช้างศึกของเราไม่น้อยเลย แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ก็แน่นอนว่าที่สุดแล้วความกดดันจะมากมายตามขนาดสนามบูกิต จาลิลแค่ไหนก็อยู่ที่ผลการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นในสนามราชมังคลากีฬาสถานบ้านเราก่อน กล่าวคือหากผลการแข่งขันในเกมแรกที่จะเล่นกันที่บ้านเราออกมาสูสีคู่คี เป็นต้นว่าเสมอ หรือไทยเราชนะด้วยผลต่างแค่สกอร์เดียว ความกดดันในการเล่นเกมสองมากล้นแบบเต็มๆอยู่แล้ว แต่หากเป็นลักษณะเราชนะขาด บางทีแฟนบอลของเขาก็อาจจะเตรียมใจมาก่อนแล้ว และทำให้บรรยากาศในบูกิต จาลิลวันนั้นไม่กดดันทัพช้างศึกของเรามากอย่างที่มันควรจะเป็น