Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Liverpool

Pages: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 45
61
Cafe / ศัพท์เด็กแนว
« on: June 26, 2010, 11:05:30 PM »
> >เฟค (Fake) - การสร้างจินตนาการ/การหลอกตัวเอง
> >สุดตีน - ที่สุดของที่สุด
> >โออิชิ - เกิดอาการชาตามร่างกาย
> >หรูไฮ - ดูดีมีฐานะ
> >สปก. - หนีเอาตัวรอดไปก่อนเพื่อน (
> เสือกไปก่อน)
> >มีองค์ - ใช้เรียกเพื่อนชายที่เป็นเกย์
> >ด๋อย - เชยๆ เสี่ยวๆ
> >ชิลๆ - ง่ายๆ สบายๆ
> >สวยเป๋อ - ผู้หญิงสวยแต่ซุ่มซ่าม
> >เพียวเค็ม - คนที่งกมากๆ
> >สะแอ๋ง - ชอบสอดเรื่องชาวบ้าน
> >ตะไบ - เสริมแต่ง
> >สลิ่ม - สีสันเสื้อผ้าที่ตัดกันมาก
> เช่น เขียวกับชมพู
> >เหียก - หน้าตาขี้เหร่มากๆ
> >
> >ศัพท์กะเทย
> >สลัมบอมเบย์ - ต่ำสุดๆ
> >กระต่ายป่า - ผู้ชายที่ยังไม่รู้อะไร ดูซื่อๆ
> >แก่นเซี้ยวเยี่ยวราด - กะเทยที่ไม่เรียบร้อย
> >สะดือด่วน - ไวในเรื่องเพศ
> >กทม. - กะเทยเก๊กแมน
> >ดัดจร - เวิร์บช่อง 3 ของดัดจริต
> >มิสเปรู - มีเงินเท่าไรให้ผู้ชายหมด
> >ลูกนายก - ถูกผู้ชายยกเค้าไปหมด
> >ฉ่ำสะมิหลา สงขลาปัตตานี แฟนตาซีภูเก็ต - เริ่ดหรูหาอะไรเปรียบไม่ได้
> >ช่อราษฎร์ - แย่งแฟนเพื่อน
> >ปาดหน้าเค้ก - แย่งผู้ชายที่คนอื่นหมายปอง
> >ซุงแหล - เวิร์บช่อง 3 ของตอแหล
> >ซิซูกะ - ตะกละ
> >ออนป้า - แสดงความเป็นป้าสู่สายตาประชาชน
> >
> >ศัพท์คุณหนู
> >ฝนเริ่มตั้งเค้า - มีใจให้กันหรือตกหลุมรัก
> >ล็อกอิน (Login) - เชื่อมต่อ
> >คุณพระช่วยกล้วยทอด - คำอุทานเวลาตกใจ
> >เต่ากัดยาง - ช้ามากๆ
> >
> >ศัพท์บ้านๆ
> >อย่างหรอย - รากศัพท์มาจากภาษาใต้ แปลว่าสุดยอด
> เยี่ยมยอด
> >ต๊ะต่อนหยอน - รากศัพท์มาจากภาษาเหนือ หมายถึงชิลๆ
> เวอร์ชั่นคำเมือง
> >คุณนายหอยหอม - หญิงวัย 30 ขึ้นไปแต่งตัวเก่ง ไม่ทำงานช็อป
> ปิ้งอย่างเดียว
> >กะเทยลุ่มน้ำโขง - สาวประเภทสองที่แต่งกาย แต่งหน้าสีสัน
> ฉูดฉาด สรีระกล้ามเป็นมัด โหนกแก้มสูง
> >ปริมณฑล - คนไม่ทันสมัยและออกเชยๆ
> >
> >ตัวอย่าง เมื่อกะเทยกทม.นัดเจอกับกะเทยลุ่มน้ำโขง
> >กทม : ต๊ายยยยยยยยย... อีด๋อย เดี๋ยวนี้แต่งตัวหรูไฮ ว่าแต่ว่าหล่อนยังทำตัว
> เป็นมิสเปรูอยู่หรือเปล่าย้า...
> >ลนข : แหม... ใครจะไปเหมือนหล่อนละย้า... สะดือด่วนปาดหน้าเค้กตลอดเวลา...ซิ
> ซูกะจริงจริ๊ง...
> >กทม : อุ๊ย... นังสลัมบอมเบย์ ชั้นไม่ใช่คุณนายหอยหอมนี่ย้า...ขืนไปทำเป็นฝน
> เริ่มตั้งเค้า ดักกระต่ายป่า ได้นอนโออิชิกอดหมอนข้างกันมั่งหละ
> >ลนข : เชอะ... เหียก ๆ อย่างหล่อน ระวังจะเจอลูกนายกเข้าซักวัน
> >กทม : ก็ยังดีกว่าเพียวเค็มแล้วยังช่อราษฎร์อย่างหล่อนนั่นแหละย่ะ
> >ลนข : กรี๊ดดดดดดดดดดด... อีสปก.
> >_________________________________________________________________
 [laugh]

62
1.ทำไมคุณจึงอยากทำงานที่นี่
......กูตกงานอยู่ มึงเรียกกูก็มาสัมภาษณ์นี้แหละ

2.ทำไมคุณถึงออกจากงานที่เคยทำอยู่
.....ต่อยกับหัวหน้า มันลำเอียงเลยสั่งสอนมันนิดหน่อย

3.ลองเล่าประวัติของคุณแบบย่อ ๆ
.....ผมเกิดจากผลงานอันสุดยอดของมนุษย์2คน ซึ่งภายหลังผมเรียกท่านว่า พ่อ-แม่

4.คุณคิดจะทำอะไรให้กับบริษัทมากที่สุด
.....กะว่าจะยึดบริษัทนี้เป็นของผมให้เร็วที่สุดแล้วขึ้นไปนั้งเป็นผู้บริหาร(แล้วผม
ก็จะไล่คุณออก)

5.จะมีปัญหาอะไรไหมหากต้องทำงานล่วงเวลา
.....ทำได้ทั้งนั้นแหล่ะถ้าได้ตังค์อ่ะ

6.คุณมีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง
.......ผมเป็นคนที่นิสัยดีมากๆจนสาวในที่ทำงานเดิมติดกันเป็นแถว
บางคนนะขนาดมีลูกมีผัวแล้วยังยอมเป็นกิ๊กกับผมเลย (เขาบอกว่าผมเก่งกว่าผัวที่บ้าน)

7.ความใฝ่ฝันและโครงการในอนาคต....ก็อย่างที่บอกงัย ผมจะเป็น CEO ของที่นี้...............................

8. คุณมีงานอดิเรกอะไรไหม
.......เป็นกิ๊กกับเมียชาวบ้าน

9. คุณต้องการเงินเดือนเท่าไหร่
......ผมขอสัก 200,000 คุณจะให้ผมไหม สาดดดดถามทำไมวะ

10. คุณมีข้อสงสัยอะไรอีกไหม
.........มีครับ...ผมไม่ชอบขี้หน้าคุณ เมื่อไหร่คุณจะลาออกซะทีวะ
 
ปล.
-กรุณาอย่านำไปใช้ในชีวิตจิงเพราะคุณอาจจะไม่มีชีวิตรอดต่อไป(กรุณาใช้วิจารณญาณในการชม)  อิอิอิอิ
 

 [great]

63
Cafe / ขำขำ ขนมยาย
« on: June 26, 2010, 11:03:52 PM »
ยายคนหนึ่ง มีอาชีพขายขนมไทย แต่ขายได้ไม่ดีนัก เพราะขนมไทย ไม่เป็นที่นิยมมากเท่าใด

แต่ทุกเช้า จะมีชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง มาซื้อขนมกับแกทุกวัน โดยชายหนุ่มจะยื่นเงินให้ยายคนนั้น 20 บาท โดยที่ไม่ได้รับขนมไปเลย แต่ชายหนุ่มคนนั้น ก้อทำเช่นนี้มาตลอด ไม่มีขาด
ยายก็ได้แต่พูดขอบใจทุกครั้ง

อยุ่มาวันหนึ่ง ชายหนุ่มก้อทำเช่นเดิม ยื่นเงินให้ยาย 20 บาท แล้วกำลังจะเดินจากไป แต่คราวนี้ ยายจับแขนชายหนุ่มไว้ แล้วเอ่ยปากว่า

“พ่อหนุ่ม”

ชายหนุ่มรีบตอบกลับว่า “ยายครับ ยายไม่ต้องสงสัยหรือเอ่ยถามหรอกครับ ผมทำแบบนี้ทุกวัน เพราะผมอยากช่วยยายครับ” ชายหนุ่มตอบพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน

ยายตอบกลับว่า “เปล่า.. ยายจะบอกว่า ขนมยายขึ้นราคาเป็น 25 บาทแล้ว

 

 [laugh]



64
Cafe / ขำๆ ยาแก้ไอ
« on: June 26, 2010, 11:03:08 PM »
บุญเพียรเป็นเภสัชกร เขาเปิดร้านขายยาอยู่ที่แถวแฟล็ตดินแดง ชาวแฟล็ตเกือบทุกคนล้วนเคยเป็นลูกค้าขาประจำของเขาแทบทั้งสิ้น เขาจ้างเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาเป็นลูกมือของเขาได้หลายปีแล้ว 

วันหนึ่ง บุญเพียรออกไปทำธุระข้างนอกปล่อยให้เด็กหนุ่มคนดังกล่าวอยู่เฝ้าร้าน ชายแก่ชาวแฟล็ตคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน 

ชายแก่ : เภสัชกรอยู่ไหม ? 

เด็ก หนุ่ม : ไม่อยู่ครับ ผมพอจะช่วยอะไรได้บ้างไหมครับ ? 

ชายแก่ : อืม...ผมไอมาก มียาแก้ไอไหม ? 

เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหลังร้านหยิบยา น้ำมาให้ชายแก่ขวดหนึ่ง 

หลังจากชำระเงินแล้วชายแก่เปิดขวดยาขึ้น 
จิบ หนึ่งอึก อาการไอยังไม่หายเขาก็จิบอีกหนึ่งอึก 
แล้วก็จิบอีกจนกระทั่ง หมดขวด สักพักหนึ่งชายแก่ก็ไปนั่งนิ่งอยู่ข้างๆร้าน 
พอดีกับที่บุญเพียร เสร็จจากธุระกลับมาถึง ร้านพอดี 

บุญเพียร : ชายแกคนนั้นมานั่งเหงื่อตกอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? 
ปกติเขาไม่เคย มานั่งอย่างนี้ แกได้ไปช่วย 
สอบถามอาการอะไรเขาบ้างหรือเปล่า ? 

เด็ก หนุ่ม : เขามาขอซื้อยาแก้ไอผมขายขวดนี้ให้เขา 
เขาดื่มจนหมดแล้วก็มานั่ง นิ่งอยู่ที่นี่พักหนึ่งแล้วครับ 

บุญเพียร : แกจะบ้าหรือเปล่า นี่มันไม่ใช่ยาแก้ไอแต่มันเป็นยาถ่าย 

เด็กหนุ่ม : มันจะเป็นยาอะไรก็ตาม มันออกฤทธิ์ดีมากเลยครับ 
ผมไม่เห็นเขาไอมาตั้งพัก ใหญ่ๆแล้วครับ 

บุญเพียร : ออกฤทธิ์อะไรกัน 
ตอนนี้เขากลั้นไอเอา ไว้ต่างหาก 
เพราะขืนไอนิดเดียวมันจะไหลออกมานะซี
 [laugh]

65
Cafe / ใครเจ๋งกว่ากัน
« on: June 26, 2010, 11:01:40 PM »
ณ ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีคนที่มาทำการค้า-ขาย อยู่หลายชาติ หลายภาษา นายอับราฮัม และนายลี่กง ซึ่งเป็นเพื่อนซี้กันมาหลายปี นายอับราฮัมเป็น แขกขายผ้า งกมาก ไม่ว่าอะไร ก็จะคิดเป็นเงินเป็นทองไปหมด ส่วนนายลี่กง เป็นคนทำงานรับจ้างทั่วไป ใครมาจ้างทำอะไร ก็รับหมด อดทน ขยันและตรงไปตรงมา ทั้งคู่มีนิสัยเหมือนกันอยู่อย่างคือ เป็นคนที่ขี้เหนียว จนเป็นที่เรื่องลือกันทั้งหมู่บ้าน
    วันหนึ่งนายลี่กงก็ชวนนายอับราฮัมไปนั่งที่ ร้านขายกาแฟในตลาด พอเข้าไปในร้านกาแฟ นายลี่กงก็ถามอาแป๊ะเจ้าของร้านว่า
นายลี่กง:    อาแป๊ะ กาแฟ แก้วละเท่าไร
อาแป๊ะ:    แก้วละ 5 บาท
นายลี่กง:    แล้วโอยั๊วะหล่ะ แก้วละเท่าไร
อาแป๊ะ:    แก้วละ 4 บาท
นายลี่กง:     แล้วน้ำชาหล่ะอาแป๊ะ
อาแป๊ะ:    น้ำชาฟรี ไม่คิดตังหลอก
นายลี่กง:     งั้นเอาน้ำชามากาหนึ่งก็แลวกังนะ อาแป๊ะ
อาแป๊ะก็ส่ายหน้าและก็คิดในใจว่า "ไม่น่าบอกว่า ฟรีเลย อั๊วเสียรู้มังอีกเลี้ยว"
นายลี่กงกับนายอับราฮัมก็นั่งกินน้ำชากัน อย่างมีความสุข สักพัก ทั้งคู่ก็ชวนกันไปที่ท้ายตลาด กะว่าจะไป ดูเขาชนไก่กัน ระหว่างทาง ทั้งคู่ก็เจองูเหลือมตัวใหญ่สักสามศอกได้
ก็ช่วยกันจับ นายลี่กงก็เอาไม้ไล่ นายอับราฮัมก็เอาสุ่มไก่ที่ชาวบ้านวางทิ้งไว้ เอามาครอบงู
พอทั้งคู่จับงูเหลือมได้สำเร็จ ก็ดีใจ หัวเราะร่า สักพัก ทั้งคู่ก็หันมามองหน้ากัน แล้วนายอับราฮัม ก็เริ่มพูดก่อน
นายอับราฮัม:     อีนี้ ..ฉานเห็นงูก่อน งูจะต้องเป็นของฉานนะ ฉานกะว่าจะเอางูไปเล่นกลในตลาด
นายลี่กง:     อั๊วก็เห็งงูก่อง และถ้าไม่ล่ายอั๊วช่วยเอาไม้เขี่ย ลื้อก็จับงูไม่ล่าย ฉะน้าน..งูต้องเป็นของอั๊ว
ทั้งสองเถียงกัยอยู่นาน ยังสรุปไม่ได้ บังเอิญนายฉุนเดินมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี นายฉุน เป็นคนไทย ที่ใครๆในหมู่บ้านก็ให้ความนับถือ ก็ถามทั้งสองเกลอว่า
นายฉุน:    มีอะไรกัน เห็นคุยกันเสียงเอะอะ จนถึงปลายทุ่งโน้น
นายลี่กง:     ไม่ช่ายคุยกังหลอก ทาเลาะกังมากกว่า ก็ไอ้เรื่องงูตัวนี้น่ะซี่ อั๊วเห็นก่อง มังต้องเป็งของอั๊ว
นายอับราฮัม:    อีนี่..ฉานก็เห็นก่อนนะนายจ๋า ฉานเป็นคนเอาสุ่มมาครอบมันไว้ มันต้องเป็นของฉานนะนาย
นายฉุนพอจะเข้าใจเรื่องราว ก็นิ่งคิดสักพัก ก็ได้ความคิดอันชาญฉลาด แล้วก็หันไปพูดกับ ทั้งสองเกลอว่า
นายฉุน:    เอายังงี้ ฉันมีความคิดที่ดี อย่างหนึ่ง ถ้าใครพูดคำว่า"งูเหลือม" ได้ชัด คนนั้นก็เอางูไปเลย ทั้งสองเห็นว่าไง
นายลี่กงกับนายอับราฮัมก็พยักหน้าแล้วบอกว่า "อือ..ก็ยุติธรรมลี"
นายฉุน:     เอาหล่ะให้นายลี่กงพูดก่อน
นายลี่กง:    งูเหลียม …งูเหลียม…งูเหลียม
นายฉุนส่ายหน้า แล้วบอกว่า "ยังไม่ชัด" ทีนี้ก็ทีของนายอับราฮัม
นายอับราฮัมก็หายใจลึกๆแล้วพูดว่า
นายอับราฮัม:    งู..ฮะ..เลื่อม งู..ฮะเลื่อม งู..ฮะเลื่อม
นายฉุน:    ก็ยังไม่ชัดอยู่ดี เอางี้นะ ทั้งคู่ไปฝึกพูดคำว่างูเหลือมให้ชัดก่อนก็แล้วกัน
        ส่วนงูเหลือมตัวนี้ฉันจะเก็บไว้ให้ก่อน
ทั้งสองคนก็ทำหน้างงๆ และก็พยักหน้า เดินจูงมือกันกลับบ้าน ระหว่างทางก็ยังฝึกพูด
งูเหลียม ..ไม่ช่าย ต้อง งู..ฮะเลื่อม… ไม่ซ่าย..ต้อง งูเหลียม
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ใครจะมาฉลาดกว่าพี่ไทย เป็นไม่มี.


 

 [laugh]

66
Cafe / หาลำไพ่พิเศษ
« on: June 26, 2010, 11:01:01 PM »
ในหมู่บ้านทางภาคอีสานแห่งหนึ่ง มีเด็กชายที่ฉลาดและใฝ่รู้ ชื่อหนูจุ่น เป็นนักเรียนชั้นประถม ที่เรียนดี และเป็นลูกที่ดีของพ่อจวน ในวันแรกของการปิดภาคเรียนฤดูร้อน หนูจุ่นก็เดินหน้าระรื่นไปบอกกับพ่อจวนว่า
หนูจุ่น:   พ่อจ๋า ผมได้งานพิเศษทำในช่วงวันหยุดปิดเทอมแล้วหล่ะ (เจ้าจุ่นทำหน้าอมยิ้ม ที่แฝงไปด้วย ความภาคภูมิใจ)
พ่อจวนพยักหน้ายิ้มและถามว่า
พ่อจวน:   แล้วเอ็งจะไปทำงานพิเศษอะไร กับใครหรือว่ะ ไอ้จุ่น
หนูจุ่นหัวร่อกิ๊กๆแล้วตอบว่า
หนูจุ่น:   น้ากำนัลเขาจ้างหนูไปกวาดใบไม้แห้งที่ใต้ต้นไม้หน้าบ้านของแกจ๊ะ ต้นละตั้ง 5 บาทแน่ะ ดีไหมจ๊ะพ่อ
พ่อจวนโบกมือไหวๆ ไล่หนูจุ่นออกไปและยิ้มอย่างมีความสุข เจ้าจุ่นก็ออกวิ่งตั๊กๆหายไปสักพัก เวลาล่วงไป ยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เจ้าหนูจุ่น ก็วิ่งตื๋อกลับมาบ้าน หน้าบานพร้อมชูเงินใบแดงๆ ใบละ100 บาทหร๋ามาด้วย
หนูจุ่น:    พ่อ..พ่อจ๋า หนูกลับมาแล้วจ้า
พ่อจวนมองดูหนูจุ่นอย่าง งงๆ และเห็นเงินใบแดงๆมาด้วย จึงตะโกนถามไปว่า
พ่อจวน:   โอ้โฮ..เอ็งได้เงินมายังไงหาไอ้จุ่น ถึงได้เงินมาตั้ง 100 บาท สงสัยเอ็งไม่ต้องกวาดใบไม้ตั้ง 20 ต้นหรือวะไอ้จุ่น
หนูจุ่นยิ่มจนปากจะฉีกด้วยความภูมิใจก่อนจะตอบไปว่า
หนูจุ่น:   ป่าวจ่ะพ่อ หนูไปกวาดใบไม้แห้งใต้ต้นไม้ที่ลานหน้าบ้านแค่ต้นเดียวเอง
พ่อจวนทำหน้าตาตื่นๆ
พ่อจวน:   อะไรกันวะ ท่านกำนัลเขาใจดีให้เงินเอ็งกวาดต้นไม้ต้นเดียวตั้ง 100 บาทเชียวหรือวะ
หนูจุ่น:   ป่าวจะพ่อ ตอนที่ผมกำลังกวาดใบไม้ไม่นาน หมาของน้ากำนัลก็วิ่งมากัด น้ากำนัลเลยให้เงินมา 100 บาทปลอบใจ ดีมั๊ยพ่อ ได้เงินมาแบบไม่ต้องเหนื่อยเลย ……พ่อจวนทำหน้า งงๆ ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี….เฮ้อ

 [great]

67
Cafe / นายพลกับอูฐ
« on: June 26, 2010, 11:00:36 PM »
ในกระบวนการฝึกหน่วยรบเดนตายของทั่วโลกแล้ว เห็นทีจะต้องยกให้เจ้าอเมริกันชาติเดียวมั้ง ที่มีการฝึกเอาเป็นเอาตาย และในบรรดาหน่วยฝึกพิเศษหลาย ๆ หน่วยนี้ ก็มีอยู่หน่วยหนึ่ง ที่ถูกส่งไปฝึกในทะเลทรายอันแห้งแล้งสุดโหด
   วันหนึ่ง มีนายพลคนหนึ่งจะมาพักเยี่ยมค่ายฝึกนี้และมีกำหนดต้องพักแรมที่ค่ายนี้ 30 วัน พอถึงวันกำหนด นายทหาร ครูฝึก นายสิบจ่าสนาม ก็มาคอยตั้งขบวนรับ พอถึงเวลาเป๊ะ รถขบวนก็มาถึง และจอดกึกตรงที่จะต้อนรับ
   นายพลทหารตัวใหญ่กำยำ อายุใกล้ ๆ 50 ก้าวลงมาอย่างกระฉับกระเฉง ตะเบ๊ะรับการต้อนรับและรายงานตัว และเดินตรวจสนาม ระหว่างที่เดินตรวจแถว ท่านนายพลมองดูเหล่าทหารที่แต่งตัวขะมุกขะมอม หน้าเกรียมแดด แต่ละคนยังกะออกมาจากสุสาน หลังจากสั่งเลิกแถวแล้ว ท่านก็มายืนอยู่หน้าเต็นท์ที่เขาจัดไว้รับรองท่าน มองไปรอบ ๆ ค่ายทหาร มันเว้งว้างมีแต่ลมกับทราย ท่านนายพลจึงหันไปถามนายสิบทหารที่ติดตามรับใช้ว่า
   “นายสิบ…”
   “ครับผม นายพล”
   “เฮ้ย ที่นี่เวลาทหารที่พักฝึก เกิดอยากนอนกับผู้หญิง เขาทำยังไงวะ”
   นายสิบตอบว่า
   “ที่นี่เราใช้อูฐกันครับผม”
   ท่านนายพลยืนอึ้ง คิดในใจว่า กูก็ผ่านสนามรบและผจญภัย กับหลับนอนมาสารพัดแบบ กับอูฐยังไม่เคยเห็นใครใช้แทนผู้หญิงเลย มันจะเป็นยังไงกันวะ
   ท่านเดินไปเดินมาในกระโจมจนมืด ท่านอดรนทนไม่ได้ เพราะท่านคิดว่า ถ้าเรามาในดินแดนแบบนี้ เราไม่ลองแบบที่เขาเป็นอยู่ จะเสียฟอร์ม
   ใครถามว่าเคยลองอูฐไหม บอกไม่เคยจะเสียหมาเลยตัดสินใจเรียกสิบเวรองครักษ์เข้ามา และสั่งออกไปว่า
   “นี่สิบเวร อั๊วอยากนอนกับผู้หญิงแล้วละ”
   สิบเวรก็บอกว่า
   “เดี๋ยวผมจะไปเอาอูฐมาให้ครับผม”
   นายพลพยักหน้างึก ๆ แล้วสิบเวรก็วิ่งตั๊ก ๆๆ หายไป
   สัก 10 นาที ก็นำอูฐค่อยนั่งและถอยเอาก้นเข้ามาในกระโจม และออกไปยืนคอยข้างนอก
   ท่านนายพลเดินดูตูดอูฐอยู่ 3 รอบ ในที่สุดก็กัดฟันตัดสินใจถอดกางเกงเดินแก้ผ่าโทง ๆ ตรงไปที่ตูดอูฐ
   นายสิบเวรเห็นว่านานแล้ว จึงเปิดกระโจมโผล่เข้ามา เห็นเข้าตกใจ รีบบอกว่า
   “ตาย - า ท่านครับ ที่ว่าเราใช้อูฐคือใช้ขี่ไปที่หมู่บ้านโน่น”
   ท่านนายพลรีบนุ่งกางเกง และนึกด่าในใจว่า
   “แหม---เกือบฉิบหายแล้วไหมล่ะกู ถ้ากูโดดเข้าไปฟันมัน ป่านนี้โดนมันเตะกระโ-กแตกป่นปี้แน่เลย”




 [laugh]


68
Cafe / ปลาไหลผัดเผ็ด
« on: June 26, 2010, 10:59:48 PM »
ทิดมีเป็นทิดสึกใหม่ คิดถึงพี่สาว ซึ่งอยู่กันคนละฟากนา จึงออกเดินทางตั้งแต่เช้า พอใกล้เพลมาถึงตลาด หิว เลยนั่งล่อก๋วยเตี๋ยวซะ 2 ชาม จากนั้นก็เดินลัดเลาะตามหัวคันนาไปถึงบ้านพี่สาว พอดีเที่ยง บ้านพี่สาวเป็นบ้านแบบเรือนไทยใต้ถุนสูง เจ้าทิดล้างตีนที่โอ่งข้างบันไดเสร็จ ก็เดินขึ้นบันได
   ขณะนั้น พี่สาวกำลังปูเสื่อจะตั้งสำรับกินข้าวเที่ยง เสียงพี่สาวซึ่งหันมาเห็นเจ้าทิดเดินขึ้นมาแล้ว จึงถามไปว่า
   “ก็งั้นแหละ คิดถึงพี่ เลยแวะมาหา”
   พี่สาวจึงถามต่อไปอีกว่า
   “แล้วเอ็งกินข้าวมาหรือยังล่ะ”
   ด้วยความปากไว เลยตอบไปว่า
   “กินมาแล้วจ้ะพี่”
   พี่สาวก็ค่อย ๆ ยกสำรับออกมาตั้ง ยกหม้อข้าวออกมา และคดข้าวใส่จาน เจ้าทิดมองดูกับข้าว ที่พี่สาวกำลังจะกินหอมอร่อยน่ากิน จึงถามเปรยออกไปว่า
   “พี่ทำอะไรกินล่ะ”
   พี่สาวเริ่มเปิบข้าวกินตอบว่า
   “ผัดเผ็ดปลาไหลว่ะ”
   เจ้าทิดสะดุ้งเฮือก ตาย-า ปากหนอปากเรา ผัดเผ็ดปลาไหลนี่เป็นของโปรดที่สุด และอยากกินมาตั้งนานแล้ว วันนี้ที่จริงมีลาภปาก มาเจอพี่สาวเราผัดพอดี แต่ดันเสือกบอกไปว่า กินข้าวแล้ว
   โอ้โฮ---คิดแล้วอยากจะเตะปากตัวเอง
   เจ้าทิดนั่งคิดกระสับกระส่ายว่า จะทำอย่างไงดีวะ ถึงจะได้กินอ้ายปลาไหลผัดเผ็ด ยิ่งช้าเดี๋ยวพี่สาวกินหมด ก็เลยซวย
   คิด ๆ ๆ ในที่สุด เจ้าทิดก็ดีใจหน้าบานที่คิดออก เลยออกปากถามพี่สาวไปว่า
   “เออ พี ๆ ๆ ตอนหัวปี เมื่อกี้นี้ตอนผมขึ้นบ้านมาน่ะ พี่ถามผมว่าไงนะ”
   พี่สาวเงยหน้าขึ้น คิดแป๊บหนึ่ง และตอบว่า
   “อ้าว ก็ถามว่า…เป็นไงมั่งวะ หลังสึกแล้ว สบายดีมั้ย”
   เจ้าทิดรีบปฏิเสธพัลวัน
   “ไม่ใช่ ๆ อีกคำว่าไงนะ”
   พี่สาวนิ่งแล้วตอบว่า
   “อ้อ เอ็งกินข้าวมาหรือยังล่ะ”
   เจ้าทิดยิ้มแป้น
   “เออ ใช่แล้ว ๆ ๆ ๆ “
   และตอบว่า
   “เออ---เอาซะหน่อยก็ดีนะพี่”

 [laugh]

69
Cafe / มองโลกในแง่ดี
« on: June 26, 2010, 10:59:11 PM »
ผมมีเพื่อนผมคนหนึ่งชื่อสมชาย เขาได้รับการกล่าวขวัญเสมอว่า เป็นเจ้าของร้านอาหารที่ชอบมองโลกในแง่ดี และมีอารมณ์ดีตลอดเวลา ทุกครั้ง ถ้ามีใครถามเขาว่า ชีวิตเป็นอย่างไร ?
   เขาจะตอบว่า "ถ้ามีแฝดอีกคน คงดีกว่านี้" ลูกน้องทุกคนรักในความเป็นผู้นำของเขา ถ้าลูกน้องคนไหนกำลังมีปัญหา เขาจะอยู่ใกล้ๆ และคอยปลอบให้รู้ว่า จะมองเห็นสิ่งที่ดีจากเรื่องร้าย ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างไร
   วันหนึ่งผมอดสงสัยเรื่องนี้ไม่ได้ จึงถามเขาว่า
   "เอ็งมีเคล็ดลับอะไรหรือเปล่า ถึงได้มีอารมณ์ดีอย่างนี้ได้ตลอดเวลา?"
   เขาตอบว่า "ทุกวันตอนเช้า เมื่อข้าถามตัวเองว่า วันนี้จะเลือกเป็นคนอารมณ์ดี หรืออารมณ์ร้าย ข้าก็จะเลือกข้อหนึ่งทุกที ทุกครั้งที่เกิดปัญหาขึ้น ข้ามีสิทธิที่จะเลือก ตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ หรือเลือกเรียนรู้จากเหตุการณ์ ทุกครั้งที่มีใครบ่นให้ผมฟัง “ข้ามีสิทธิ์เลือก ที่จะรับคำบ่น หรือชี้ให้เห็นอีกด้านหนึ่งของชีวิตที่ดีกว่า สุดท้าย ข้ามักจะเลือกด้านดีของชีวิตเสมอ"
   ผมแย้งกลับไปว่า "แต่อะไรๆ ไม่ได้ง่ายอย่างนั้นนะซิ"
   เขาตอบว่า "ถูกต้อง ชีวิตคือการเลือก เมื่อเอ็งตัดสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นออกไป สุดท้ายจะเลือกแค่การเลือก เอ็งมีสิทธิที่จะเลือก ตอบสนองกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ว่า จะทำให้คนอื่นตอบสนองอารมณ์เอ็งได้อย่างไร เอ็งมีสิทธิเลือก ที่จะสบายใจ หรือหัวเสียตลอดเวลาได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่า เอ็งจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร ?"
   หลังจากนั้นไม่นาน ผมได้รับข่าวร้ายว่า เพื่อนผมคนนี้ ถูกโจรที่เข้ามาปล้นร้านอาหารยิง และได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคยังดีที่มีคนมาพบ และนำส่งโรงพยาบาลทัน หลังจากการผ่าตัดนานกว่า 18 ชั่วโมงผ่านไป และนอนพักรักษาตัวเป็นเวลากว่าหนึ่งอาทิตย์ สมชายได้รับการปล่อยให้กลับบ้านได้ ในระหว่างที่ผมไปเยี่ยมสมชาย ผมถามเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง ?
   เขาตอบว่า "ถ้ามีแฝดอีกคน คงดีกว่านี้แน่"
   เขาถามผมว่า อยากดูบาดแผลหรือเปล่า
   ผมตอบว่า “ไม่ แต่อยากรู้ว่า เขาผ่านเรื่องร้ายๆ อย่างนี้มาได้อย่างไร ?”
   สิ่งแรกที่ข้านึกได้คือ “น่าจะล๊อคประตูหลังร้านไว้" สมชายตอบ
   แต่หลังจากถูกยิง ขณะที่นอนอยู่บนพื้น ข้าบอกตัวเองว่า "ข้าเหลือทางเลือกเพียงสองทาง คือมีชีวิตอยู่ต่อหรือไม่ก็ตาย” แน่นอนที่สุด ข้าเลือกที่จะมีชีวิตอยู่
   "แล้วไม่รู้สึกกลัวบ้างเลยหรือ?" ผมถามต่อ
   สมชายเล่าต่อไปว่า "พวกที่มาช่วยเก่งมาก พวกเขาบอกผมตลอดเวลาว่า “ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างต้องเรียบร้อย” แต่ระหว่างที่ข้าถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัด ข้ามองเห็นสีหน้าของหมอ และพยาบาลแล้ว ผู้รู้สึกได้จากสายตาของพวกเขาว่า
   "ข้ากำลังจะตาย" เลยบอกตัวเองทันทีว่า "ต้องทำอะไรสักอย่าง"
   "แล้วเอ็งทำอะไร ?" ผมถาม
   ข้าก็คิดว่า “โชคยังดี ที่ข้ายังมีลมหายใจ” และพอจะมีแรงถามหมอว่า “กระสุนโดนจุดสำคัญหรือเปล่าครับหมอ”
   หมอตอบว่า “โชคยังดีที่กระสุนไม่โดนจุดสำคัญ แต่คงต้องตัดแขนออกไปข้างหนึ่ง เพราะเลือดไม่ได้ไปเลี้ยงที่แขนซ้ายนานกว่าชั่วโมง”
   “แล้วเอ็งจะทำยังไง” ผมถาม
   สมชายก็ตอบว่า “โชคยังดีที่ข้ายังเหลือแขนขวาอีกข้าง” ทำให้ข้ามีกำลังใจต่อไป
   พอดีมีนางพยาบาลคนหนึ่งตะโกนถามว่า “แพ้อะไรหรือเปล่า ?"
   สมชายก็ร้องออกมาทันทีว่า "หมอ หมอ ผมแพ้อยู่อย่างหนึ่งครับ"
   ทั้งหมอ และพยาบาลหยุดชั่วขณะ จนห้องทั้งห้องเงียบกริบเพื่อรอฟังคำตอบ
   ข้าหายใจเข้าลึกๆ และตอบไปว่า "ผมแพ้หัวลูกปืนครับ"
   ทันใดนั้น ทุกคนก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นไปหมด
   ต่อจากนั้น ข้าก็บอกหมอว่า “ผมอยากมีชีวิตอยู่ ช่วยกรุณาผ่าตัดอย่างคนมีชีวิต ไม่ใช่อย่างคนที่ตายไปแล้ว"
   ในที่สุดการผ่าตัดก็สำเร็จ หมอสามารถช่วยชีวิตของสมชายเพื่อนผมไว้ได้อย่างปาฏิหารย์ และสมชายก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข เพราะเขาเลือกที่จะคิดในสิ่งที่ดี
   ข้อคิดจากเรื่องนี้ก็คือ
   “คุณมีสิทธิที่จะชื่นชมกับชีวิต ในขณะที่คุณกำลังมีชีวิตขมขื่นได้ ด้วยความคิดในแง่บวกของคุณเอง ถ้าคุณจัดการเรื่องนี้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเสมอไป”



 [laugh]

70
Cafe / โอ้…พระเจ้า
« on: June 26, 2010, 10:58:30 PM »
ในสมัยย้อนหลังไป 10 ปี มีชายชราคนหนึ่งไปเที่ยวที่ชายหาดชะอำ ขณะกำลังเดินเล่นเลาะไปตามชายหาด ก็มีหญิงสาวสวยในชุดบิกินนี่ นอนอาบแดดที่ชายหาด ชายชราก็เดินเข้าไปหาหญิงสาวด้วยความมั่นอดมั่นใจ แล้วก็เอ่ยปากกระซิบถามว่า
   "อีหนู ลุงขอจับนมหน่อยได้ไหม" ตาแก่ถามแล้วทำหน้าตากระลิ้มกระเลี่ย
   "ไปให้พ้นนะ ตาแก่บ้ากาม" หล่อนด่าอย่างไม่แยแส
   "ขอจับนมหน่อย เดี๋ยวให้เงินร้อยนึง" ตาแก่ยังไม่ลดความพยายาม
   " ร้อยนึง? จะบ้าหรือไง ไปให้พ้น!! " หล่อนไล่อีก พูดแล้วก็เมินหน้าหนี
   "ขอจับนมหน่อยเหอะน่า ให้ห้าร้อยเลยเอ้า" ตาแก่ต่อรอง อย่างมีความหวัง
   "ไม่ได้ไปให้พ้น" หล่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรเลย
   "งั้นพันนึง!"ตาแก่เพิ่มวงเงิน
   หญิงสาวเริ่มรู้สึกลังเล แต่แล้วก็ได้สติ "บอกว่าไม่ได้ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง"
   "งั้นให้ห้าพันเลยเอ้า ขอจับนมแค่นิดเดี๋ยวเท่านั้น" ตาแก่ทำตาละห้อยขอร้อง
   หญิงสาวนึกในใจว่า เขาแก่มากแล้ว ดูท่าทางก็ไม่น่ามีพิษมีภัยอะไร อีกอย่างเงินห้าพันนี่ ในสมัยโน้นก็ไม่ใช่น้อยๆ เลยบอกไปว่า "ก็ได้แต่ให้จับแค่แป๊บเดียวนะลุง" ว่าแล้วหล่อนปลดสายบิกินนี่ท่อนบนออก แล้วตาแก่ก็สอดมือเข้าไปถูนวด ลูบคลำเต้านมของหญิงสาว
   ลูบพลางก็รำพึงว่า "โอ พระเจ้า ! โอ พระเจ้า! โอ พระเจ้า!" ไม่ขาดปาก
   ด้วยความสงสัย หญิงสาวเลยถามว่า "ทำไมลุงต้องพูดว่า โอ พระเจ้า ! โอพระเจ้า! โอ พระเจ้า! ด้วยล่ะลุง"
   ตาแก่พึมพำตอบขณะที่มือยังลูบคลำบีบนวดเต้านมของหญิงสาว!โอ พระเจ้า โอพระเจ้า! โอ พระเจ้า ชาตินี้ลูกจะไปหาเงินห้าพันได้จากที่ไหน" ฮิๆๆๆๆ




 [laugh]

71
Cafe / โจ๊กการเมือง
« on: June 26, 2010, 10:58:03 PM »
กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ ณ ประเทศที่มีรอยยิ้มมากที่สุดในโลกที่สาม มีศาลาว่าการจังหวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งประชาชนมาติดต่อราชการกันมากมาย บรรดาพ่อค้าทั้งหลาย ต่างพากันยื้อแย่งแข่งขัน เพื่อสัมปทานขายอาหารที่นี่ และ...เนื่องจากเรื่องนี้เป็นนิทาน ทางจังหวัดจึงอยากให้การชิงสัมปทาน เป็นไปด้วยความยุติธรรม ดังนั้น งานประจำปีจึงถูกจัดขึ้น เพื่อให้ร้านค้ามาขายประชันกัน น่าแปลกใจ ที่นับแต่อดีต ร้านที่มาแข่งขันต่างก็ขายแต่ "ข้าวมันไก่" ซึ่งทางจังหวัดไม่สามารถแก้ไขได้ แม้จะใช้มาตรการต่างๆ เช่น ตั้งกองทุน SMEข้าวหมูแดง หรือจัดสัปดาห์ข้าวหน้าเป็ด ถึงกระนั้น บรรดาพ่อค้าก็ยังคง ยืนยันจะขายข้าวมันไก่อยู่นั่นเอง
   แล้วงานประจำปีก็มาถึง แต่ละร้านเตรียมตัวกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นร้าน "ความหวังไก่" ที่มีพ่อค้าเป็นทหารเก่าร้าน "รสชาติพัฒนา" ที่มีเจ้าของร้านสองคน ร้าน "ชาติไก่" ของพ่อค้าร่างสั้น ณ เมืองสุพรรณ และร้านตัวเต็งสองร้านคือ "ประชาไก่น่ากัด" ของอดีตครูประชาบาลลูกชาวบ้าน กับอีกหนึ่งร้านใหม่ "ไก่รักไก่ (มหาชน)"
   ไหนๆก็ไม่มีทางเปลี่ยนพ่อค้าเหล่านี้ให้ขายอาหารประเภทอื่นได้แล้ว ทางจังหวัดจึงอยากยกระดับข้าวมันไก่ ให้กลายเป็นของขึ้นหน้าขึ้นตาของจังหวัด พร้อมตั้ง "คณะกรรมการไก่ตอน" หรือ กกต. ขึ้นเพื่อควบคุมการแข่งขัน และตรวจสอบคุณภาพไก่ แต่แม้ว่า ก.ก.ต. จะทำงานอย่างจริงจัง คุณภาพของไก่ก็ยังแกว่ง บางครั้งมีการนำไก่ไม่ดีมาแขวนไว้เตรียมขาย ก.ก.ต. ก็ต้องสอยไก่ที่แขวนไว้ในร้านไปเก็บ แต่ถ้าเผลอ ทางร้านก็จะเอามาแขวนใหม่ ทำให้ต้องแขวน และสอยกันหลายรอบ ร้าน"ประชาไก่น่ากัด" เป็นเจ้าของสัมปทานเก่าที่เข้ามารับสัมปทาน
   ขณะเกิดวิกฤตศรัทธาข้าวมันไก่อย่างหนัก ซึ่งว่ากันว่าวิกฤตนี้ต้นเหตุน่าจะมาจากร้าน "ความหวังไก่" ที่ติดราคาไว้ 27 บาท แต่พอเรียกเก็บเงิน เจ้าของร้านจะบอกราคาด้วยนำเสียงอบอุ่น ดังคนแก่ที่ใจดีที่สุดในโลกว่า จานละ 59 บาทนะลูก นอกจากนี้ บรรดาลูกของเด็กเสิร์ฟยังชอบมากวนคนในร้าน ลูกค้าก็ไม่กล้าโวย เพราะเกรงเด็กเสิร์ฟปากร้ายนิสัยนักเลงคนนี้ ทำให้คนเข้าร้านน้อยลง และลูกจ้างก็พากันลาออก แม้ว่าเมียเจ้าของร้านจะพยายามอุ้มช้างบูชาราหู ก็ไร้ผล
   ดังนั้นการเข้ามารับช่วงสัมปทานของร้าน"ประชาไก่น่ากัด" จึงถูกใจชาวบ้านร้านตลาดมาก เพราะเป็นร้านที่เปิดบริการมาหลายชั่วคน อีกทั้งเจ้าของร้านก็เป็นคนที่น่านับถือ สูตรน้ำจิ้มไก่ใส่น้ำผึ้งก็เด็ดขาด การค้าช่วงแรกจึงราบรื่นดี แต่ภายหลังค่าแก๊ส ค่าไก่ มีราคาสูงขึ้น กิจการเริ่มประสบปัญหา จำนวนไก่ต่อจานน้อยชิ้นลง จานชามแตกหักสกปรก พอถูกถาม เจ้าของก็บอกว่าไม่ทราบ เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนสับไก่กับคนล้างจาน พอชาวบ้านถามคนสับไก่ก็จะได้คำตอบว่า จำนวนชิ้นไก่จะขึ้นอยู่กับกลไกตลาด ส่วนคนล้างจานก็บอกว่า ช้อนส้อมจานชาม เซ้งมาจากเจ้าของสัมปทานร้านที่แล้ว เจอไม้นี้เข้า ชาวบ้านก็ได้แต่ทำตาปริบๆ
   การเปิดร้านของเถ้าแก่คนใหม่ ทำให้ชาวบ้านเริ่มมีความหวังกับรสชาติที่แตกต่างออกไป ตามสโลแกนของร้านที่ว่า "คิดไก่ ทำไก่" เถ้าแก่คนใหม่ได้ปฏิวัติแนวทางการขายอย่างสิ้นเชิง มีการนำหลักวิชาการตลาดเข้ามาช่วย ทั้งการแบ่ง Market Segmentation และนำโปรโมชั่นต่างๆมาล่อใจ ไม่ว่าจะเป็นการ พักหนี้ข้าวมันไก่ 3 เดือนของลูกค้าเงินเชื่อ หรือกินไก่ทั้งตัว ตัวละ 30 บาท ผลก็คือ ทำให้ร้านนี้เป็นร้านที่คนเข้ามากที่สุดในงานประจำปี แม้จะมีข้อสงสัยว่า โปรโมชั่นเหล่านี้จะเอาเงินมาจากไหน แต่ได้ยินมาแว่วๆว่า เถ้าแก่ไม่สนใจหรอก แค่ได้สัมปทานข้าวมันไก่นี้ หุ้นร้านแกก็ขึ้นหลายหมื่นจุดแล้ว...




 [laugh]

72
Cafe / มือถือนี้ของใคร?
« on: June 26, 2010, 10:57:38 PM »
วันนึงผมไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสเซ็นเตอร์ใกล้ที่ทำงาน ขณะที่อยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่นั้น ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ผมหันไปมอง เห็นชายคนนึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นรับสาย และนี่คือบทสนทนาของเขา
   "ฮัลโหล”
   "หวัดดีค่ะที่รัก ยังอยู่ที่ฟิตเนสเหรอคะ”
   “ใช่จ้ะ”
   “ดีจัง ดาวก็ยังอยู่ที่เซ็นทรัลเลยค่ะ เจอเสื้อตัวนึงซ้วยสวย ดาวอยากได้จัง ขอซื้อนะคะ”
   “แล้วราคาเท่าไหร่ล่ะจ๊ะ”
   “สองหมื่นกว่าเองค่ะ”
   “ก็เอาสิ ถ้าคุณชอบนะ”
   “แล้วชั้นล่างเค้าเอาบีเอ็มรุ่นใหม่มาโชว์ สวยมากเลยค่ะ ดาวคุยกับเซลส์แล้ว เค้าบอกถ้าจองวันนี้เค้าจะให้ราคาลดพิเศษสุดเลย…”
   “เขาให้ราคาเท่าไหร่ล่ะ”
   “สี่ล้านสองเอง”
   “โอเค แต่บอกเขาว่าราคานี้ต้องฟูลออปชั่นนะ”
   “ดีใจจังเลย แต่ยังมีอีกอย่างค่ะ…”
   “อะไรล่ะ”
   “คุณอย่าหาว่าดาวยุ่งไม่เข้าท่าเลยนะคะ เมื่อเช้าดาวขับรถผ่านบ้านที่เราเคยไปดูกันเมื่อสองเดือนที่แล้ว ตอนนี้เขากำลังมีโปรโมชั่น ลดราคาลงมาตั้งเยอะแน่ะค่ะ…”
   “เท่าไหร่ล่ะ”
   “ยี่สิบห้าล้านถ้วน แถม…”
   “เงินไม่ใช่น้อยเลยนะนั่น”
   “แหมที่รักคะ ราคาเต็มเข้าตั้งสามสิบล้านเชียวนะคะ”
   “ผมขอคิดดูหน่อยนะ”
   “ที่รักคะ วันนี้โปรโมชั่นวันสุดท้ายแล้ว และสำนักงานขายเค้าก็กำลังจะปิดแล้วด้วย ตอนนี้เซลส์เขารอให้ดาวเขียนเช็คเงินมัดจำให้อยู่น่ะค่ะ”
   “ก็แล้วแต่คุณละกัน”
   “โอเคนะคะที่รัก วันนี้คุณน่ารักจังขอบคุณค่ะ บ๊ายบาย”
   เขาวางโทรศัพท์ไว้บนม้านั่งเหมือนเดิมแล้วถาม
   “ใครรู้บ้างครับว่าโทรศัพท์มือถือนี่ของใคร!!?”

 [great]

73
Cafe / โชคสองชั้น
« on: June 26, 2010, 10:57:13 PM »
คนสี่คนนั่งรถไฟไปด้วยกัน (คงนึกออกนะครับ ที่นั่งด้านละสองที่ สองอันหันหน้าชนกัน มีหน้าต่างอยู่ตรงกลางน่ะครับ) คู่หนึ่งเป็นหญิงสาวนั่งมากับยายของเธอ อีกด้านหนึ่งเป็นผู้หมวดหนุ่มนั่งมากับผู้กองผู้บังคับบัญชาของเขา เมื่อรถไฟแล่นผ่านอุโมงค์แห่งหนึ่ง ท่ามกลางความมืด มีเสียงจูบดังฟอดขึ้นครั้งหนึ่ง ตามด้วยเสียงตบดังเพียะ เมื่อรถไฟออกจากอุโมงค์ ทุกคนนั่งเงียบไม่มีใครพูดอะไรสักคำ แต่ในใจของทุกคนก็คิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป แม่สาวน้อยรู้สึกตื่นเต้น เธอประทับใจที่ผู้หมวดหนุ่ม ที่เธอแอบปิ๊งตั้งแต่แรกเห็น ช่างรู้จักหาจังหวะขโมยจูบเธอ แต่ก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมยายของเธอจะต้องตบหน้าเขาด้วย คุณยายของแม่สาวน้อยรู้สึกตกใจ ที่ไอ้หนุ่มช่างบังอาจขโมยจูบหลานสาวของเธอซึ่งๆหน้า แต่ก็ยังรู้สึกดี ที่หลานสาวได้ตบเขากลับเป็นการสั่งสอนด้วย ผู้กองรู้สึกภูมิใจในลูกน้องตัวเองที่รู้จักหาโอกาส เหมือนกับตัวเขาเมื่อสมัยหนุ่มๆไม่มีผิด แต่ก็สงสัยว่าทำไมยายของแม่สาวน้อย ถึงต้องตบหน้าตัวเขาเองด้วย ทั้งๆที่ไม่เกี่ยวอะไรเลย
   ผู้หมวดหนุ่มรู้สึกเบิกบานใจเป็นที่สุด วันนี้เขาพบโชคสองชั้นใต้อุโมงค์ฟรีๆ ได้จูบสาวสวย แถมถือโอกาสตบหน้าเจ้านายได้ฟรีๆทีหนึ่งอีกต่างหาก!!!




 [great]

74
Cafe / หลวงตากับเจ้าแกละ
« on: June 26, 2010, 10:56:51 PM »
เช้าวันหนึ่งก่อนที่หลวงตาจะออกไปบิณฑบาตพอดีเห็นใบไม้ร่วงอยู่เต็มลานวัด ท่านจึงบอกเจ้าแกละให้ไปกวาดลานวัด เพื่อญาติโยมเวลามาทำบุญเห็นลานวัดสะอาดสะอ้านจะได้สบายอก สบายใจ
   พอหลวงตาบิณฑบาตกลับมาก็พบว่าที่ลานวัดยังไม่ได้กวาดแต่อย่างใด หลวงตาจึงเรียกเจ้าแกละมาถามว่า
หลวงตา : นี่..เจ้าแกละ ฉันบอกให้แกช่วยกวาดใบไม้ลานวัด ทำไมแกไม่ยอมกวาดล่ะ
เจ้าแกละ : โธ่.. จะกวาดไปทำไมหลวงตา กวาดแล้ว เดี๋ยวใบไม้มันก็ร่วงอีก *
   หลวงตาได้ฟังเจ้าแกละเถียงก็ไม่ว่าอะไร หนึ่งชั่วโมงต่อมา หลังจากที่พระทุกรูปฉันอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาของศิษย์วัดที่จะได้รับประทานอาหารกันบ้าง บรรดาศิษย์วัดทั้งหลายรวมทั้งเจ้าแกละ ต่างช่วยกันยกสำรับกับข้าว มาตั้งที่กลางโรงฉัน ในขณะที่ทุกคนกำลังจะลงมือรับประทานอาหารอยู่นั่นเอง ก็ได้ยินเสียงหลวงตาพูดดัง ๆ ขึ้นมาว่า
หลวงตา : เฮ้ยๆ ทุกคนกินข้าวกันได้ ยกเว้นเจ้าแกละคนเดียวไม่ต้องกิน
เจ้าแกละ : อ้าว ! ..หลวงตา ถ้าไม่ให้ผมกิน ผมก็หิวแย่สิครับ
หลวงตา : เอ็งจะกินไปทำไมวะ กินแล้วเดี๋ยวตอนเที่ยงเอ็งก็หิวอีก *
เจ้าแกละ : ?!?!

 [great]

75
Cafe / เนื้อตุ๋นเป็นเหตุ
« on: June 26, 2010, 10:56:17 PM »
คืนหนึ่ง ขณะที่สามี-ภรรยาคู่หนึ่งกำลังหลังสบายที่ห้องนอน จู่ๆ ภรรยาก็เขย่าแขนสามีที่กำลังหลับสนิทให้ตื่นขึ้นมากลางดึก
ภรรยา:     “ที่รัก ตื่นเร็วๆ”
สามี:     “อะไรกันจ๊ะที่รัก” สามีตอบอย่างงัวเงีย
ภรรยากระซิบ:    “คุณได้ยินเสียงอะไรไหม เหมือนมีคนอยู่ในครัวเราเลย ฉันว่า มันกำลังขโมยกินเนื้อตุ๋นที่ฉันทำไว้ตั้งแต่เมื่อตอนเย็นแน่เลย”
   สามีล้มตัวลงนอนตามเดิม แล้วหันหลังให้พร้อมกับพูดว่า “ช่างหัวมันเหอะ หัวขโมยอย่างนี้ควรได้รับบทเรียนที่สาสม กินเนื้อตุ๋นของคุณเข้าไป รับรองว่า มันจะเข็ดไปอีกนาน”
ภรรยา:    ????

 [great]

Pages: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 45